ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุลอบวางระเบิดทั่วกรุงเทพฯในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงอันดับเครดิตและความน่าเชื่อถือของประเทศไทย รวมทั้งความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวด้านเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ เวปไซต์ วอลล์สตรีท เจอร์นัล ฉบับออนไลน์ รายงานว่า สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ระบุว่า เหตุลอบวางระเบิดในไทยได้ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความน่าเชื่อถือของไทย แต่การเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือจะขึ้นอยู่กับว่าเหตุการณ์ต่างๆจะพัฒนาไปอย่างไรในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เหตุการณ์ระเบิดครั้งล่าสุดส่งผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างแน่นอนต่อความน่าเชื่อถือของไทย หลังมีเหตุการณ์ในเชิงลบหลายครั้งในปี 49 โดยความวิตกที่สำคัญอยู่ที่ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนในไทย เอสแอนด์พีระบุ
ประเมินความเสียหายไม่ได้
ขณะที่ในส่วนของภาคเอกชนไทยก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ โดยเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา คณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นำโดยนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธาน กกร.และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม ประธานสมาคมธนาคารไทย พร้อมด้วยนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ และนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหารือถึงผลกระทบจากกรณีการลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯและหามาตรการป้องกัน
โดยนายประมนต์เปิดเผยหลังการประชุมว่า ความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ ขณะนี้คงยังประเมินไม่ได้ว่ามีผลกระทบในกลุ่มใดบ้าง และมีมูลค่าความเสียหายอย่างไร เพราะหากไม่มีเหตุยืดเยื้อ ที่จะมีการวางระเบิดหรือการขู่วางระเบิด ใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า ความมั่นใจของต่างชาติทั้งนักท่องเที่ยว นักลงทุนหรือคนไทยก็คงจะกลับมา แต่หากยืดเยื้อหรือมีเหตุรุนแรงขึ้นตลอด 2 สัปดาห์ กกร. ก็จะประเมินสถานการณ์ใหม่ โดยจะนัดหารือกันอีกครั้งวันที่ 8 ม.ค.นี้ โดยขณะนี้ กกร.ต้องหาทางช่วยเหลือตัวเองไปก่อน นอกจากนี้ กกร. ยังต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความปลอดภัยของประเทศเป็นเรื่องแรก อย่าพะวงเรื่องเศรษฐกิจเป็นหลักเหมือนที่ผ่านมา และ กกร.จะยังไม่ขอเข้าหารือกับผู้นำระดับสูงของรัฐบาล เพราะยังมั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถคุมสถานการณ์ได้ในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ กกร.ได้มีมติให้สมาชิกของ 3 สถาบัน หาทางช่วยเหลือตัวเองใน 2 มาตรการ คือ 1. มาตรการรักษาความปลอดภัยและเฝ้าระวังตัวเอง เช่น การเพิ่มความเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยอาคารสถานที่ 2.หากเหตุการณ์ยังยืดเยื้อ กกร.จะให้สมาชิกทั้ง 3 สถาบัน ชี้แจงกับนักลงทุนต่างชาติ อาทิ ส.อ.ท. ก็ให้ชี้แจงต่อนักลงทุนภาคอุตสาหกรรม หอการค้าไทยให้ชี้แจงต่อหอการค้าต่างประเทศ สมาคมธนาคารไทยให้ชี้แจงนักลงทุนด้านการเงินต่างประเทศหรือตลาดทุนไทยก็ให้เจรจากับโบรกเกอร์ทั่วโลก
หวั่นเหตุยืดเยื้อบานปลาย
ด้านนายสันติกล่าวว่า กกร.ได้แต่หวังว่าใน 2 สัปดาห์ข้างหน้าเหตุระเบิดจะยุติลง แต่หากยังไม่ยุติเหตุการณ์จะบานปลาย ทำให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยอาจกังวลและบริษัทแม่ในต่างประเทศ ก็จะไม่ไว้ใจต่อการลงทุนในไทย โดยอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเป็นกลุ่มแรก ที่เริ่มได้รับผลกระทบ ส่วนอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค คงไม่ได้รับผลกระทบ เพราะยังเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ยกเว้นสินค้าฟุ่มเฟือยที่คนอาจลดกำลังซื้อลงเพราะไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ ในอนาคต
ด้านคุณหญิงชฎากล่าวว่า ใน 1-2 วัน จะหารือระหว่างสมาชิก เพื่อให้ธนาคารแต่ละแห่งดูแลความปลอดภัยทรัพย์สินของลูกค้าและพนักงานว่ามีแนวทางอย่างไร ซึ่งเหตุระเบิดในกรุงเทพฯเป็นสิ่งที่ธนาคารแต่ละแห่งมีความระมัดระวังมากขึ้น นอกจากนี้จะมีการหารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับธนาคารต่างประเทศ เพราะถือว่ามีประสบการณ์ในเรื่องนี้ เพราะต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ต้องมาจากการลงทุน ทั้งในส่วนของนักลงทุนไทยและต่างประเทศ
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า สมาคมต่างๆที่อยู่ภายใต้ สภาธุรกิจตลาดทุนไทยและโบรกเกอร์ต่างประเทศ จะมีการประชุมกันในสัปดาห์หน้า เพื่อขอความเห็นถึงแนวทางและมาตรการที่ต้องการให้ภาครัฐดำเนินการเพื่อป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้น รวมถึงหาแนวทางการดูแลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาวะการลงทุนในตลาดทุน ทั้งนี้ ตลาดมีแนวทางจะจัดแสดงข้อมูลโรดโชว์ในประเทศปลายไตรมาสนี้เพื่อเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติให้กลับคืน ส่วนนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ขณะนี้เรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสำคัญกว่าผลลบต่อเศรษฐกิจ และการที่หุ้นปรับตัวลงได้สะท้อนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อคาดว่าดัชนีจะดีดตัวกลับมาได้ ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยวันที่ 3 ม.ค. ซึ่งเปิดทำการวันแรกของปีหลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดทั่วกรุง ปรากฏว่า ดัชนีหุ้นปรับตัวลงแรงมาปิดตลาดที่ 659.25 จุด ลดลง 20.59 จุด หลังลงไปต่ำสุดของวันที่ 653.14 จุด ลดลง 26.70 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,460 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 249 ล้านบาท
ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังประชุม ครม. ว่า ที่ประชุมไม่ได้มีการหารือถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากเหตุระเบิด เพราะเห็นว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นมากนัก โดยตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงเล็กน้อย แสดงว่านักลงทุนไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะนักลงทุนมีความกรุณา และพยายามจะช่วยประเทศชาติ ดังนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม และไม่ต้องไปโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ส่วนผลกระทบต่อการท่องเที่ยวนั้น คงส่งผลระยะสั้น
ขณะที่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวยอมรับว่าเหตุระเบิด มีผลกระทบเชิงลบในระยะสั้น ส่วนจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจหรือโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ ต้องติดตามดูผลกระทบต่อการใช้จ่ายในประเทศ ที่เดิมคาดว่าจะฟื้นกลับมาได้ ส่วนผลกระทบต่อตลาดเงินและค่าเงินบาทนั้น ถือว่ายังไม่กระทบ ส่วนประเด็นที่บอกว่ามาตรการหักกันสำรอง 30% เงินทุนไหลเข้ามีผลกระทบทำให้ต้นทุนในตลาดตราสารหนี้สูงขึ้นนั้นถือเป็นเรื่องปกติ ขณะนี้ยังไม่มีการสั่งทบทวนมาตรการตามที่มีข่าวลือว่า ธปท.จะยกเลิกมาตรการหักสำรอง 30% ซึ่งไม่จริง เพราะตลาดยังไม่ปกติ ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทวันที่ 3 ม.ค. เคลื่อนไหวอยู่ที่ 36.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.08% จาก 29 ธ.ค.ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่ 36.07 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ