บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (3 ม.ค.) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ 269.25 จุด ลดลง 20.59 จุด หรือ 3.03% ระหว่างวันปรับตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 677.55 จุด และอ่อนตัวต่ำสุดแตะจุด 653.14 จุด มูลค่าการซื้อขาย 15,291.59 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 246.82 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ 466.59 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 713.41 ล้านบาท
นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า การปรับตัวของดัชนีโดยรวมได้รับแรงกดดันจากมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ต่อเนื่องมาจากปลายปีที่แล้ว ประกอบกับแรงกดดันจากเหตุการณ์วางระเบิดที่กทม.เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ทำให้ความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศลดลง
นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากข่าวเรื่องการขู่วางระเบิดทั่วกทม.ในวานนี้ (3 ม.ค.) ทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกกังวลว่า ความรุนแรงในกทม.อาจจะขยายผลและรัฐบาลอาจไม่สามารถดำเนินการให้เกิดความสงบได้โดยไว
ทั้งนี้ วานนี้ดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 650-665 จุด ตามที่บริษัทคาดการณ์ และสำหรับแนวโน้มดัชนีวันนี้ (4 ม.ค.) ประเมินว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบที่ 650-665 จุดเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม หากมีเหตุการณ์รุนแรงที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็คาดว่าดัชนีจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 640 จุด หรือมีความเป็นไปได้ที่จะหลุดกรอบดังกล่าว
นักวิเคราะห์รายหนึ่ง กล่าวว่า หุ้นที่ปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนวานนี้เป็นหุ้นที่มาร์เก็ตแคปสูงทั้งสิ้น ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์และหุ้นพลังงาน สาเหตุมาจากกลุ่มดังกล่าวเป็นหุ้นที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศเป็นส่วนมาก ทำให้มีแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศมาต่อเนื่อง รวมกับแรงขายจากนักลงทุนในประเทศที่กังวลว่า นักลงทุนต่างประเทศจะเทขาย จึงตัดหน้าขายออกมาก่อน
โดยแนะนำนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นที่ยังเกี่ยวเนื่องการท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึงหุ้นที่เกี่ยวกับอุปโภคบริโภคโดยตรง เนื่องจากอารมณ์ของตลาดหุ้นจะผูกกับจิตวิทยาที่ไร้ความมั่นใจทางการเมืองและความไม่สงบในกทม.ไปอีกประมาณ 1 ไตรมาส กรณีที่รัฐบาลไม่สามารถหาผู้กระทำผิดได้โดยไว
นางสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า วานนี้ (3 ม.ค.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 20.59 จุด หรือ 3.03% เนื่องมาจากนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่สงบในกรุงเทพมหานคร ที่จะก่อให้เกิดปัญหาความไม่สงบทางการเมือง โดยจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีแรงขายจากนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
"วานนี้ดัชนีอ่อนตัวลงจากปัจจัยภายในประเทศ เรื่องการเมือง เรื่องระเบิด ซึ่งจะมีผลมากกว่าปัจจัยภายนอกประเทศ โดยช่วงนี้มีปัจจัยให้รอติดตาม คือ การประชุมของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 17 มกราคม 2550 และการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ในวันที่ 30-31 มกราคม 2550 รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐที่กำลังจะมีการประกาศด้วย"
ตลาดหุ้นเตรียมแจงนักลงทุนนอกปลายไตรมาส 1
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันนี้จะปรับตัวลดลงไม่แรง ซึ่งเป็นไปตามที่โบรกเกอร์หลายรายประเมินไว้ เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเริ่มคลี่คลาย หลังจากมีเวลาทบทวนการลงทุนเป็นเวลา 2 วันก่อนเปิดทำการซื้อขายในต้นปี 2550 ประกอบกับ 2 วันหลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดที่กทม.ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำเติม
ทั้งนี้ ประเมินว่าตลาดหุ้นยังมีความน่าสนใจอยู่ที่ราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน โดยขณะนี้ มีการซื้อขายอยู่ในระดับพี/อี 8 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านซื้อขายในระดับพี/อี 12-15 เท่า และบางประเทศซื้อขายสูงถึง 20 เท่า นอกจากนี้ ยังมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 4% โดยอีก 2 เดือน บริษัทจดทะเบียนก็จะมีการประกาศจ่ายเงินปันผล
เธอกล่าวต่อว่า ขณะนี้ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนแบ่งเป็น 2 อย่าง จึงเชื่อว่าเมื่อดัชนีปรับตัวลดลงไปมาก จะมีนักลงทุนบางกลุ่มที่เชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ต่างๆ เข้ามาช้อนซื้อ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุนกลุ่มนี้ที่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า และแนะนำนักลงทุนไม่ควรขายหุ้นเพราะความตื่นตระหนก
"นักลงทุนต่างประเทศ ยอมรับว่าเหตุการณ์ระเบิดจะทำให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการลงทุนออกไปก่อนและรอว่ารัฐบาลจะคลี่คลายสถานการณ์ขณะนี้ในทิศทางใดและรวดเร็วแค่ไหน หากรัฐบาลสามารถจัดการได้เร็ว ก็เชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง"
สำหรับมาตรการจำกัดเพดานการซื้อขายของบัญชีนักลงทุนต่างประเทศให้ไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อบัญชีในการลงทุนหุ้นนั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบกับการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศอย่างรุนแรงเท่ากับมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงิน 30% แต่จะส่งผลเช่นไรนั้น ตลาดหลักทรัพย์จะประเมินอีกครั้งในวันที่ 8 มกราคมนี้อีกครั้ง และสำหรับการขอผ่อนผันให้กับการลงทุนของบลจ.ที่ขณะนี้ ยังถูกใช้มาตรการ 30% อยู่นั้น ขณะนี้ ก.ล.ต. ได้ส่งเรื่องไปให้ธปท.พิจารณาแล้ว แต่ธปท. ยังไม่ได้ให้คำตอบ
นางภัทรียา กล่าวเพิ่มอีกว่า ขณะนี้ ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการเตรียมจัดงานนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนต่างประเทศในปลายไตรมาสที่ 1 ปีนี้ โดยลักษณะการจัดงานจะเป็นเช่นเดียวกับงานโอเพนเฮ้าส์ (OPEN HOUSE) ที่ผ่านมา เมื่อปลายปี 2549 คือการเชิญนักวิเคราะห์จากต่างประเทศมารับฟังข้อมูลในประเทศไทย
ปรีดิยาธร หวังคมช.เร่งแก้ปัญหาฟื้นมั่นใจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึง กรณีที่มีเหตุการณ์ระเบิด ในกรุงเทพมหานครนั้น ได้ส่งผลกระทบระยะสั้น โดยเฉพาะท่องเที่ยว ซึ่งโดยส่วนตัวก็หวังว่าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะพยายามทำเต็มที่เพื่อเร่งสอบ ผู้กระทำความผิดและฟื้นความเชื่อมั่น ของนักลงทุนทั้งไทย และต่างชาติ รวมทั้งฟื้นความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวด้วย เพื่อให้ทุกอย่างสงบโดยเร็ว ในเรื่องของความเชื่อมั่นนั้นสามารถดูได้จากตลาดหลักทรัพย์ได้ แต่เท่าที่ดูแล้วพบดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ค่อยๆ ปรับตัวลดลง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สบายใจ เพราะก่อนหน้านี้ ได้ปรับตัวลดลงไป 4% แต่ในช่วงหลังๆ ก็ได้ปรับตัวขึ้นมาเหลือลดลงแค่กว่า 2% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนไม่ได้ตื่นตัวเกินเหตุ เพราะเดิมทีได้คาดการณ์เอาไว้ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวลดลงมากกว่านี้ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังจะไม่มีการออกมาตรการใดมาเพิ่มเติม แต่ในช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ ก็ได้เรียกหารือกับเจ้าหน้าที่ในกระทรวงการคลัง ซึ่งไม่มีประเด็นที่เกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยที่ลดลง และเมื่อวานนี้ (3 ม.ค.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเศรษฐกิจ เพราะมองว่าเศรษฐกิจได้รับผลกระทบไม่มาก นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า ผลกระทบจากการวางระเบิดนั้น ส่งผลกระทบไม่มากนัก แต่เหตุการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็นการทำลายความสงบ ความน่าเชื่อถือ ส่วนเรื่องเศรษฐกิจนั้น ก็มีการชี้แจงผ่านครม.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แต่ทั้งนี้ คนไทยต้องเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจและความปลอดภัยด้วย
ธปท.ยันตลาดเงินไม่กระทบ
ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง ผลกระทบจากการลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อคืนวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า จากที่เห็นผลต่อตลาดเงินพบว่าค่าเงินบาทไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็คงจะมีผลทำให้การซื้อขายลดลงในช่วงแรกๆ ของเหตุการณ์ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ส่วนผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงนั้น ดร.ธาริษา กล่าวว่า ผลของเหตุการณ์ระเบิดต่อการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายจะต้องรอดูผลในระยะต่อไปเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากข่าวที่ออกมาในขณะนี้ก็เห็นว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทย ก็ยังไม่ได้ตกใจกับเหตุการณ์มาก หรือยกเลิกห้องพักแต่อย่างใด ทั้งนี้ เชื่อว่าหากรัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาได้ ความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจก็น่าจะกลับมาได้
"ผลของเหตุการณ์ในแง่ลบคงจะมีอยู่แล้ว แต่จะเป็นในช่วงสั้นแค่ไหนก็ต้องรอดูจากนี้ไป เพราะเรื่องของความคิด ความรู้สึกเป็นสิ่งที่คาดได้ยาก" ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว
ดร.ธาริษา ยังได้กล่าวถึง ผลกระทบของมาตรการกันสำรองเงินทุน 30% ต่อการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร (Bond yield) ด้วยว่าเป็นปกติของการออกมาตรการที่จะต้องมีทั้งผลได้ผลเสีย แต่ก็ยังยืนยันว่าจะไม่มีการทบทวนมาตรการที่ออกไป เพราะต้องรอดูผลที่เกิดขึ้นหลังจากออกนโยบายก่อนแล้ว จึงจะประเมินผลเนื่องจากขณะนี้ผลที่เกิดขึ้นในตลาดตราสารยังเป็นผลที่ไม่ใช่ผลที่แท้จริง เพราะขณะนี้ ตลาดยังมีการซื้อขายเบาบางอยู่ ต้องรอให้ตลาดเข้าสู่ภาวะปกติก่อน
ส่วนระดับค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (Offshore) กับในประเทศขณะนี้ ก็แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยการที่ผู้ลงทุนหันไปซื้อขายเงินในตลาดที่มีราคาถูกกว่าก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
เอสแอนด์พีขู่ลดความน่าเชื่อถือไทย
วอลล์สตรีท เจอร์นัล ฉบับออนไลน์ รายงานวานนี้ (3 ม.ค.) ว่า สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ ระบุว่า เหตุลอบวางระเบิดในไทยส่งผลกระทบเชิงลบต่อความน่าเชื่อถือของไทย แต่การเปลี่ยนแปลงอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นอยู่กับว่า เหตุการณ์ต่างๆ จะพัฒนาไปอย่างไรในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
นายคิม เอ็ง ตัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านการเงินสาธารณะระดับประเทศและระหว่างประเทศของเอสแอนด์พี กล่าวว่า เหตุการณ์ระเบิดครั้งล่าสุด ส่งผลกระทบรุนแรงแน่นอนต่อความน่าเชื่อถือของไทย หลังจากที่มีเหตุการณ์ในเชิงลบหลายครั้งเมื่อปีที่แล้ว ความวิตกสำคัญของเอสแอนด์พีอยู่ที่ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนในไทย
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงอย่างแรงในวันแรกที่ตลาดเปิดทำการในปีนี้ ผลจากความกังวลเรื่องเหตุระเบิดในหลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเหตุระเบิดดังกล่าวส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บราว 38 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย อีกทั้งวานนี้ยังมีกระแสข่าวการลอบวางระเบิด และการขู่วางระเบิดในหลายจุดในกรุงเทพฯ
จากหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ