นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ เศรษฐกิจไทยกลางเดือน ม.ค. 2550 หลังเกิดเหตุระเบิดในวันที่ 31 ธ.ค. 2549 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทุกรายการปรับตัวลดลง โดยดัชนีผู้บริโภคปรับตัวลดลง ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2549 ส่งผลให้การบริโภคของประชาชนในระยะสั้นชะลอตัวในไตรมาส 1 อย่างแน่นอน ขณะที่ไตรมาส 2 ยังต้องติดตามสถานการณ์อีกครั้ง เพราะประชาชนยังห่วงเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนมุมมองกลายเป็นอนาคตอาจจะแย่กว่าปัจจุบัน แต่เชื่อว่าปลายไตรมาส 2 การบริโภคจะเริ่มดีขึ้น
จากผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงกลางเดือน ม.ค. 2550 เห็นว่า ดัชนีทุกตัวปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่เดือน ก.ย. 2549 หลังจากมีรัฐบาลใหม่เข้ามา และมีแนวโน้มสอดคล้องกับดัชนีในปัจจุบันที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับตัวลดลง ชี้ให้เห็นว่า ผลของเหตุการณ์ระเบิดทำให้ประชาชนวิตกกังวล และขาดความเชื่อมั่นในการบริโภคในอนาคตมาก ซึ่งเมื่อผสมกับมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงรัฐก็ยังไม่มีมาตรการใหม่ๆที่จะออกมาช่วยประชาชน ทำให้ความเชื่อมั่นคาดว่าจะลดลงเรื่อยๆ
ทั้งนี้ คาดว่าการระเบิดจะกระทบการบริโภคและการท่องเที่ยว 40,000-50,000 ล้านบาท จึงอยากเสนอให้รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวงเงิน 80,000 ล้านบาท โดยการกระจายเม็ดเงินไปในทุกจังหวัด ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดในการเร่งรัดการลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้ครึ่งปีแรกการท่องเที่ยวจะชะลอตัวลง ภาคการลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินของ ธปท. รวมถึง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่อาจทำให้ต่างชาติชะลอการลงทุน แต่เชื่อว่าไม่ทำให้ต่างชาติย้ายฐานการลงทุนในช่วงนี้ โดยภาคการส่งออกที่คาดว่าขยายตัว 10-12% จะเป็นตัวหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ ทำให้เชื่อว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ในกรอบเดิมคือ 4-5%
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ธ.ค. 2549 ปรับตัวลดลงทุกรายการเช่นกัน เพราะผลกระทบจากมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นของ ธปท. ราคาน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวสูงขึ้น 80 สตางค์ต่อลิตร ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ และราคาสินค้าที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง ผลกระทบจากน้ำท่วมในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐยังไม่มีความชัดเจน
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ