นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ของบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทย จำกัด เจ้าพ่อตลาดรถยนต์บ้านเรา แถลงต่อสื่อมวลชนถึงแผนงานประจำปี 2550 ว่า ถึงแม้จะเกิดเหตุวินาศกรรมในกรุงเทพฯคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ แต่โตโยต้ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพประเทศไทย
โตโยต้าเห็นว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศน่าลงทุน เพราะฉะนั้นเรายังคงยืนยันแผนการลงทุนในไทยต่อไป ยิ่งการที่ได้เห็นว่ารัฐบาลได้เข้ามาจัดการดูแลความสงบสุขอย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังตื่นตัวในการระงับเหตุการก่อการร้ายต่างๆที่อาจจะตามมา โตโยต้าจึงได้เดินแผนการลงทุนใหม่ๆในไทยต่อเนื่อง รวมทั้งการเปิดโรงประกอบรถยนต์แห่งใหม่ของโตโยต้าที่โรงงานบ้านโพธิ์ ซึ่งจะเป็นโรงประกอบรถยนต์โตโยต้าเพื่อการส่งออก มีกำลังการผลิตช่วงแรกถึง 100,000 คันต่อปี จึงได้เริ่มเดินเครื่องเมื่อต้นเดือน ม.ค.นี้ตามแผนที่วางไว้
นายโซโนดะกล่าวว่า อย่างไรก็ดี โตโยต้าไม่เห็นด้วยกับมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องการสำรอง 30% ของเงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามา เพื่อสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาท เพราะเป็นอุปสรรคของแผนลงทุนในไทยของโตโยต้า เนื่องจากทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในการกู้เงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการกู้เงินบริษัทแม่คือ โตโยต้ามอเตอร์คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น จึงอยากจะให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ทบทวน เพราะจะทำให้ศักยภาพการส่งออกโตโยต้ามีปัญหา เพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทโตโยต้ามอเตอร์ประเทศไทยยังได้คาดการณ์ภาพรวมตลาดรถยนต์ในปี 2550 ว่า ภาพรวมภาวะเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ การปรับลดของราคาน้ำมัน โตโยต้าเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถรักษาดุลยภาพทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมือง จึงคาดการณ์ว่าตลาดรถยนต์รวมในปีนี้จะเติบโตทรงตัว มียอดขาย 700,000 คัน เพิ่มจากปีก่อน 3% ประกอบด้วยตลาดรถยนต์นั่ง 190,000 คัน ลดลง 1% และตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 510,000 คัน เติบโต 4% ทั้งนี้ โตโยต้าได้ตั้งเป้าขายปีนี้ที่ 295,000 คัน เพิ่มขึ้น 2% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 91,000 คัน และรถเพื่อการพาณิชย์ 204,000 คัน สำหรับเป้าหมายส่งออกปีนี้มีจำนวน 193,000 คัน คิดเป็นมูลค่า 77,000 ล้านบาท และชิ้นส่วนอะไหล่ 39,400 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวมทั้งสิ้น 116,400 ล้านบาท
นายโซโนดะกล่าวอีกว่า สำหรับยอดขายตลาดรถยนต์รวมทุกยี่ห้อในปีที่ผ่านมามียอดขายทั้งสิ้น 682,500 คัน ลดลงจากปี 2548 ถึง 3% ประกอบด้วยตลาดรถยนต์นั่ง 191,885 คัน เพิ่ม 2% และตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 490,615 คัน ลด 4.8% โดยตลาดรถกระบะ 1 ตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ขายได้ 449,796 คัน ลด 4.2%
โดยปี 2549 นับเป็นปีแห่งความสำเร็จของโตโยต้า เพราะกวาดยอดขายสูงสุดทุกตลาด กล่าวคือเป็นแชมป์ตลาดรถยนต์รวม ด้วยยอดขาย 289,108 คัน เพิ่ม 4%, แชมป์ตลาดรถยนต์นั่ง 92,566 คัน เพิ่ม 2.5%, แชมป์ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ 196,542 คัน เพิ่ม 4.7%, แชมป์ตลาดรถกระบะ 1 ตัน (รวมรถกระบะดัดแปลง) 185,709 คัน เพิ่ม 4.5% และแชมป์ตลาดรถกระบะ 1 ตัน (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลง) 166,358 คัน เพิ่ม 14.9%
ขณะที่บริษัทตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เจ้าพ่อตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ แจ้งว่า อีซูซุ ดีแมคซ์ ยังเป็นแชมป์ยอดขายรถกระบะ 1 ตัน ประจำปี 2549 (ไม่รวมรถกระบะดัดแปลงเป็นรถสปอร์ตอเนกประสงค์) อย่างฉิวเฉียด ด้วยยอดขาย 166,737 คัน ขณะที่โตโยต้ามียอดขาย 166,358 คัน.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ