นายศุภชัย วัฒนางกูร ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ไม่เห็นด้วยหากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะประกาศให้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยองเป็นเขตควบคุมมลพิษ เพราะจะกระทบต่อการลงทุนของประเทศไทย เนื่องจากมาบตาพุดมีการลงทุนคิดเป็นมูลค่าหลายล้านล้านบาท เพราะหากจะประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษจริง ก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากน้อยเพียงใด ดังนั้น ภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลมีแผนปฏิบัติการร่วมกับเอกชนในการแก้ไขปัญหามลพิษให้มากกว่า ทั้งนี้ เพื่อภาพพจน์ที่ดีต่อการลงทุนในประเทศไทย
การขยายตัวอุตสาหกรรมในนิคมอาจต้องถึงจุดสูงสุด คือไม่ให้มีการลงทุนเพิ่มเติมด้วยข้อจำกัดเรื่องมลพิษ ระบบสาธารณูปโภคที่รองรับอาจไม่เพียงพอ แต่รัฐก็จะต้องหาพื้นที่รองรับที่ชัดเจน ซึ่งต้องพร้อมด้านสาธารณูปโภคหากนักลงทุนจะขยายการลงทุน ถ้าไม่ชัดเจนก็คงรอไม่ได้
ด้านนายชนินท์ ว่องกุศลกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บ้านปู กล่าวว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพี ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ที่มาบตาพุดนั้น ยืนยันว่าได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม โดยไม่มีปัญหาด้านมลพิษ ส่วนปัญหามลพิษในมาบตาพุดที่พูดถึงกันขณะนี้ ว่ามีสารบางตัวที่เกินมาตรฐาน และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ไม่ทราบว่าสาเหตุที่แท้จริงเป็นอย่างไร ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันเร่งตรวจสอบว่าเป็นสารชนิดใด และปล่อยออกมาจากโรงงานใด เนื่องจากมีโรงงานใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของประชาชน และเกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เชื่อว่าเอกชนพร้อมทำตามกฎเกณฑ์ เพื่อทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้น
นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงานกล่าวว่า กท.พลังงานจะปฏิบัติตามข้อเสนอของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใน 2 เรื่องเพื่อแก้ปัญหาคือ 1. ตั้งคณะกรรมการร่วมขึ้นมา 1 ชุดเพื่อศึกษาและกำหนดการวัดค่ามาตรฐานมลพิษจากปล่องของโรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่ง ทุกประเภทที่ตั้งในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อให้เป็นค่ามาตรฐานเดียวกัน 2. ในส่วนของโรงงานที่ทำธุรกิจด้านพลังงานที่กระทรวงรับผิดชอบนั้น ได้ให้แต่ละแห่งกลับไปทำข้อมูลการวัดค่ามาตรฐานของควันที่ปล่อยออกจากปล่องโรงงานทั้งหมดว่ามีการปล่อยสารประเภทใด ปริมาณเท่าใด และสามารถลดปริมาณการปล่อยควันและสารปะปน โดยทำให้เสร็จภายในสัปดาห์หน้า.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ