นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาธุรกิจขนาดกลางและย่อม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ศูนย์ได้ศึกษาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ สำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (จีดีพีเอสเอ็มอี) พบว่า มีสัดส่วนลดลงเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในช่วง 6 ปี นับตั้งแต่ปี 44 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 42% ของจีดีพี ลดเหลือ 38% ในปี 49 แสดงว่านโยบายผลักดันเอสเอ็มอีที่ผ่านมาไม่มีประสิทธิภาพ โดยผลประโยชน์ส่วนใหญ่อยู่ที่ธุรกิจขนาดใหญ่
สัญญาณจีดีพีเอสเอ็มอีที่ลดลงต่อเนื่องรุนแรงถึงขั้นวิกฤติแล้ว เพราะผู้ประกอบการไทยกว่า 80% เป็นขนาดกลางและเล็ก แต่มีสัดส่วน 38% ของจีดีพีถือว่าน้อยมาก ปกติควรอยู่ในสัดส่วนอย่างน้อย 50% ของจีดีพีประเทศ และมีแนวโน้มว่าจีดีพีเอสเอ็มอีในปี 50 จะถดถอยลงอีกปี เพราะได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบในเรื่องของปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งทำให้ภาคการส่งออกของเอสเอ็มอีมีปัญหา ขณะที่เหตุการณ์ระเบิดจะชะลอการบริโภคภายใน ทำให้เอสเอ็มอีที่ผลิตสินค้าขายในประเทศได้รับ ผลกระทบ
นายอัทธ์กล่าวต่อว่า รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายสนับสนุนเอสเอ็มอีภายใน 1 เดือนว่า โดยเฉพาะขณะนี้เอสเอ็มอียังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินกู้ การเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับบางประเทศที่เอสเอ็มอีไม่ได้ประโยชน์ และไม่พร้อมแข่งขัน สำหรับการคาดการณ์จีดีพีเอสเอ็มอีปี 50 ภายใต้สมมุติฐานค่าเงินบาทอยู่ที่ 36.-36.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และหากเหตุการณ์ระเบิดยุติใน 1 เดือน จีดีพีเอสเอ็มอีจะมีมูลค่า 1.44 ล้านล้านบาท ขยายตัว 4.48% หากยุติ 3 เดือน จะมีมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท ขยายตัว 4.23%
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ