วานนี้ (23 ม.ค.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติยกเลิกมติ ครม.เมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2546 โดยให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคมในอัตรา 0% จากเดิมที่ให้จัดเก็บภาษีโทรศัพท์มือถือ 10% และโทรศัพท์พื้นฐาน 2% นอกจากนี้ยังอนุมัติให้ยกเลิกมติ ครม.เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2546 โดยให้ยกเลิกกรณีบริษัท เอกชนนำเงินที่จ่ายภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากการจ่ายส่วนแบ่งรายได้หรือจ่ายค่าสัมปทาน เพื่อให้เอกชนจ่ายค่าสัมปทานให้กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ตามเดิม โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาทีโอที และ กสท จ่ายภาษีแทนเอกชน คิดเป็นวงเงินกว่า 50,000 ล้านบาท
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า ทีโอทีและ กสท ไม่สามารถนำเงินที่ได้จากการยกเลิกมติ ครม.ดังกล่าวนำไปปรับขึ้นเงินเดือน หรือจ่ายเงินโบนัสของพนักงาน เพราะเงินส่วนนี้ถือเป็นรายได้ ของรัฐ อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องเรียกเงินคืนจากเอกชน เพราะที่ผ่านมาเอกชนทำตามมติ ครม.
ด้านนายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า การยกเลิกเก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม จะไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้รวมของรัฐบาล ถึงแม้รายได้จะหายไปในปีงบประมาณ 2550 กว่า 16,000 ล้านบาท เพราะมติ ครม.กำหนดให้ ทีโอที และ กสท นำรายได้จากค่าสัมปทานมานำส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินในจำนวนไม่น้อยกว่ารายได้จากภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมที่หายไป ดังนั้นในปีงบประมาณ 2550 ทั้งสองแห่งจะต้องส่งรายได้เข้าคลัง ไม่น้อยกว่า 16,000 ล้านบาท ส่วนในปีงบประมาณถัดไปจะพิจารณาตามภาวะเศรษฐกิจ และมูลค่าของตลาดโทรศัพท์มือถือที่มีเพิ่มขึ้น
ขณะที่นายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค กล่าวว่า ปกติดีแทคจ่ายภาษีสรรพสามิต ปีละ 7,500 ล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้จะส่งกลับคืนให้กับ กสท ส่วนนายวิเชียร เมฆตระการ กรรมการผู้อำนวยการ เอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสจ่ายค่าส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอที 10,200 ล้านบาท และค่าภาษีสรรพสามิต 8,500 ล้านบาท แต่เมื่อยกเลิกภาษีสรรพสามิตจะทำให้เงินภาษีกลับคืนสู่ทีโอที ทำให้คาดว่าปีนี้น่าจะจ่ายส่วนแบ่งรายได้ประมาณ 18,700 ล้านบาท
นายสิทธิชัย โภไคยอุดม รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังได้อนุมัติให้กระทรวงไอซีที ส่งเรื่องให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจสอบสัญญาสัมปทานโทรศัพท์กับทุกบริษัทว่าเป็นการดำเนินตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 หรือไม่ หากเห็นว่าไม่ถูกต้อง ให้ปรับแก้ไขสัญญาสัมปทานแล้วเสนอ ครม.พิจารณาต่อไป.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ