การประชุมคณะกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในวันนี้ (25 ม.ค.) ที่ประชุมซึ่งมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธาน จะมีการพิจารณาวาระสำคัญ 2 เรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือ หาข้อยุติกรณีที่บริษัท แอร์บัส อินดัสตรี จำกัด ผู้ผลิตเครื่องบิน A380 ขอเลื่อนระยะเวลาส่งมอบเครื่องบินในรุ่นนี้จำนวน 8 ลำตามคำสั่งซื้อของการบินไทยออกไปอีก 22 เดือน จากเดิมที่จะต้องส่งมอบกันในปี 2552 ไปส่งมอบในปี 2554 แทนว่า จะตัดสินใจอย่างไร กล่าวคือ จะยกเลิกคำสั่งซื้อ หรือยอมรับความล่าช้า และรับเงินชดเชยที่แอร์บัสเสนอให้ในวงเงิน 28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินประมาณ 1,008 ล้านบาท (36 บาทต่อดอลลาร์) พร้อมข้อเสนออื่นๆ เช่น การลดราคาเครื่องบิน A330-300 รุ่นใหม่ให้ลำละ 10 ล้านเหรียญ เป็นต้น
กรณีข้างต้นเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ค้างการพิจารณามาเป็นระยะเวลาหนึ่งขณะที่หลาย ประเทศโดยเฉพาะประเทศคู่แข่งขันของไทยหลายรายได้ตัดสินใจไปก่อนหน้าแล้ว ส่วนอีกเรื่องที่จะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมบอร์ดก็คือ ขออนุมัติแผนวิสาหกิจการใหม่เพื่อจัดหาฝูงบินให้สอดคล้องกับการแข่งขันทางการบินในอนาคตอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 2554-2558)
โดยวัตถุประสงค์หลักของการพิจารณาจัดหาฝูงบินที่จะเข้ามาเพิ่มศักยภาพนั้น การบินไทยอ้างว่า จะคำนึงถึงแนวโน้มความต้องการของโลกอนาคตเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องของการประหยัดพลังงาน และการขนส่งผู้โดยสารในปริมาณที่มากที่สุดต่อเที่ยวบิน เพื่อให้มีรายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในข้อจำกัดที่ว่าสิทธิการบินที่ใช้ทำการบินน้อยลงกว่าความต้องการ นอกจากนั้น การบินไทยจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ การจัดหา หรือนำเครื่องบินรุ่นใหม่เข้ามานั้น จะต้องนำเข้ามาทดแทนเครื่องบินของการบินไทยที่ใช้งานในปัจจุบันที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 14-20 ปีด้วย
พล.อ.อ.ชลิต ให้สัมภาษณ์ว่า บอร์ดกำลังพิจารณารายละเอียดของแผนการลงทุนดังกล่าวซึ่งจะต้องมีการจัดซื้อเครื่องบินใหม่เพิ่มเติมอีกกว่า 10 ลำจากเครื่องบินการบินไทยที่มีอยู่ประมาณ 87 ลำ แต่จะซื้อมากน้อยขนาดไหน หรือจะเช่าเหมาลำ ต้องดูฐานะการเงิน และรายได้ของการบินไทยด้วย ทั้งยังต้องยอมรับว่า ตามวงจรของเครื่องบิน เมื่อเก่าก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน หรือใช้วิธีเช่าเหมาลำมาเสริมบริการแทน ซึ่งเครื่องบินส่วนใหญ่ของการบินไทยใช้มานานกว่า 20 ปี จะต้องปิดประจำการออกไปตามความเหมาะสม ขณะเดียวกันการ บินไทยจะมีการพิจารณาเพิ่ม หรือลดจุดบินต่างๆเพื่อสร้างรายได้ในภาวะที่การแข่งขันของธุรกิจการบินรุนแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการบอร์ดหลายคนแสดงความรู้สึกอึดอัดใจกับแผนการจัดซื้อเครื่องบินใหม่ว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสม ส่วนข้ออ้างที่ว่าการเลื่อนกำหนดส่งมอบเครื่องบิน A380 ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะนำมาสวมรอยถึงขั้นเป็นเหตุให้ต้องไปจัดหาฝูงบินใหม่ ในขณะที่ยังมีเครื่องบินที่ยังส่งมอบไม่ครบอีกหลายลำ
ที่สำคัญ ตามหลักการปฏิบัติที่โปร่งใส กำหนดว่า การจัดทำแผนวิสาหกิจใหม่เพื่อจัดหาฝูงบินในระยะ 5 ปี จะต้องตั้งคณะกรรมการวางแผนระยะยาวขึ้นมาเพื่อพิจารณาว่า อนาคตของธุรกิจการบินจะเป็นไปในทิศทางใด เครื่องบินที่จะผลิตขึ้นในอนาคตตามสายการผลิตของบริษัทต่างๆจะสอดคล้องกับธุรกิจหรือไม่ ทั้งยังต้องพิจารณาแผนการตลาดของการบินไทยเป็นสำคัญด้วยว่า จะเพิ่มเส้นทางบินใหม่ๆไปที่ใดบ้าง ไม่ใช่จู่ๆอยากซื้อเครื่องบินก็ซื้อได้ง่ายๆ เหมือนในอดีตที่เคยทำอันนำมาซึ่งความเสียหายให้การบินไทยกลายเป็นสายการบินมีเครื่องบินทุกประเภท และยี่ห้อ ซึ่งกว่าจะทยอยปลดระวางได้ก็ต้องใช้เวลาหลายปีจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่หมด
สำหรับแผนการจัดหาฝูงบินใหม่นี้ มีรายงานว่า บอร์ดอาจจะขอขยายแผนการจัดซื้อเครื่องบิน A330-300 รุ่นใหม่ ที่ค้างการพิจารณาไว้ตั้งแต่เดือน พ.ย.2549 จำนวน 8 ลำ มูลค่า 35,000 ล้านบาท ออกไปอีก 4 ลำ รวมเป็น 12 ลำ และขยายการจัดซื้อเครื่องบิน A380 ที่เลื่อนการส่งมอบออกไป 8 ลำ เพิ่มอีก 6 ลำ รวมเป็น 14 ลำ รวมเป็นวงเงินกว่า 100,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ตามแผนการปลดระวางเครื่องบินที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 14-20 ปีนั้น แรกเลยจะปลดระวางเครื่องบิน A330-300 รุ่นเก่า 20-21 ลำ โดยเบื้องต้นปลดก่อน 6 ลำ และปลดเครื่องบิน B747-300 อีก 2 ลำ อย่างไรก็ตาม ก่อน หน้านี้การบินไทยได้จัดซื้อเครื่องบินตามแผนชดเชยเครื่องบินที่ปลดระวางไปแล้วจำนวนมาก โดยแผนการรับมอบเครื่องบินที่เข้ามาแทนที่ในปี 2548-2549 นั้น ได้มีการทยอยรับมอบแล้วได้แก่ A340-500 จำนวน 3 ลำ และเครื่องบิน A340-600 จำนวน 5 ลำ ส่วนที่จะต้องทยอยส่งมอบในช่วงปี 2549-2551 และ 2552 คือ A340-500 จำนวน 1 ลำ และ A340-600 จำนวน 3 ลำ และ B777-200 ER อีกจำนวน 4 ลำ
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ