วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2550
กระทุ้งรัฐทบทวนนโยบายดูแลธุรกิจเอสเอ็มอี หลังเจอปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า คาดจีดีพีปีนี้ชะลอตัวลงเล็กน้อย ระบุสถานการณ์เริ่มน่าห่วง ขณะที่เอสเอ็มอีเป็นฐานรากของประเทศ
ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ทั้งภาคการผลิต ภาคค้าส่งค้าปลีก ภาคบริการ แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจหลายปัจจัย โดยเฉพาะเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น ความกังวลเกี่ยวกับเหตุระเบิด ความวุ่นวายทางการเมือง การแข็งค่าของเงินบาท การแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของเอสเอ็มอีในไตรมาสแรกของปี 2550 จะมีมูลค่า 812,572 ล้านบาท ลดลง 0.17% ไตรมาสสุดท้ายปี 2549 ซึ่งเป็นสถิติลดลงเล็กน้อย ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลภาคธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยหลังจากนี้คือ เร่งทบทวนนโยบายที่ผ่านมาว่าประโยชน์ไปตกอยู่กับกลุ่มใด และดูจุดอ่อน-จุดแข็ง รวมทั้งโครงสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อการส่งออก
"ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาจีดีพีเอสเอ็มอีขยายตัวลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดรายได้ของเอสเอ็มอีต่อจีดีพีรวมประเทศลดเหลือ 38% ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าห่วง เพราะเอสเอ็มอีเป็นฐานรากของประเทศและเป็นแหล่งจ้างงานสูงถึง 80% ดังนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งทบทวนนโยบายที่เกี่ยวกับการดูแลเอสเอ็มอีใหม่ทั้งหมด" ดร.อัทธ์ ย้ำ
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจเอสเอ็มอีที่น่าห่วงมากที่สุดคือ ภาคธุรกิจบริการ เช่น ค้าส่งค้าปลีก ซึ่งได้รับผลกระทบจากนักลงทุนต่างชาติที่รุกเข้ามาทำธุรกิจบริการ และแนวทางการเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างไทย-ญี่ปุ่น ดังนั้น สิ่งที่ท้าทายการบริหารงานของรัฐบาลต่อการพัฒนาเอสเอ็มอีไทยคือ เรื่องการเงิน การตลาด แรงงาน การวิจัย เทคโนโลยี โดยรัฐบาลจะต้องวางกรอบนโยบายการพัฒนาภาคธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยให้เติบโตและแข่งขันได้มากขึ้น
ดร.อัทธ์กล่าวด้วยว่า แม้ผลสำรวจธุรกิจเอสเอ็มอีเกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จะระบุว่าไม่กังวลมากนัก แต่เรื่องดังกล่าวถือเป็นปัจจัยที่จะต้องสร้างความเข้าใจ โดยนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่เข้าใจการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวมากที่สุด คือ นักธุรกิจญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอื่นๆ
จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก