นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อฝ่ายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อผ่อนคลายเพิ่มทางเลือกให้กับการกู้เงินจากต่างประเทศ และการนำเข้าส่งออกชำระค่าสินค้าบริการระหว่างประเทศ โดยเพิ่มทางเลือกให้กับการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศทั้งที่เป็นการกู้ยืมทั่วไป และเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทแม่ในเครือ (Inter-company Loan) สินเชื่อเงินตราต่างประเทศสำหรับผู้ส่งออก เพื่อนำเงินไปซื้อวัตถุดิบ เพื่อผลิตสินค้า หรือจัดเตรียมสินค้าสำเร็จรูป เพื่อการส่งออก (packing credit) ที่อายุเกิน 180 วัน
นอกจากนี้ ยังรวมเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการไปออกตราสารหนี้ หากไม่ต้องกันสำรอง 30% สามารถใช้วิธีทำป้องกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงินในประเทศเต็มจำนวนทั้งจำนวนเงินและระยะเวลาการกู้แทน ทั้งการทำสัญญาซื้อ ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า หรือการทำสัญญาซื้อขายข้ามสกุลเงินล่วงหน้า แต่ไม่ยอมรับการทำป้องกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ โดยหากเป็นเงินกู้ที่มีอายุสัญญาต่ำกว่า 1 ปีให้ทำป้องกันความเสี่ยงเท่ากับอายุสัญญาการชำระคืน หากเกิน 1 ปีให้ทำป้องกันความเสี่ยงเต็ม 1 ปี ทั้งนี้ตามปกติต้นทุนการทำป้องกันความเสี่ยงจะเท่ากับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศกับต่างประเทศ
นอกจากนั้น ยังเพิ่มเติมประเภทเงินทุนที่ไม่ต้องกันสำรองเงินทุน 30% คือ 1. สินเชื่อ packing credit ที่อายุไม่เกิน 180 วัน 2. ตราสารทุน ประเภทใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้น (warrant) สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (TSR) และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์หลักทรัพย์อ้างอิงตราสารทุน (DR) โดยทุกรายการต้องเกี่ยวกับหุ้นทุนเท่านั้น จะมีเงื่อนไขอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับหุ้นรวมด้วยไม่ได้ 3. เงินตราต่างประเทศที่นำเข้ามาเพื่อชำระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ทั้งที่เป็นลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน
นายสุชาติกล่าวต่อว่า ธปท.ยังเพิ่มการอำนวยความสะดวกให้กับบัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทของผู้ที่มีถิ่นฐานในต่างประเทศ (NRBA) ทุกบัญชีจากเดิมที่ต้องส่งออกเงินบาทที่นำเข้าบัญชีต้องแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์ภายใน 1 วัน เพราะไม่ต้องการให้พักเงินบาทไว้เพื่อเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน หรือซื้อดอลลาร์ในตลาดซื้อขายเงินบาทในต่างประเทศ ในช่วงที่ค่าเงิน 2 ตลาดต่างกัน แต่เนื่องจากมีปัญหาทำไม่ทันจึงขยายเป็น 3 วัน รวมถึงเงินที่ได้จากดอกเบี้ย และผลประโยชน์ จากการลงทุนในตราสารหนี้ ตราสารทุนในประเทศ ไทย แต่หากเป็นเงินบาทที่มูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านบาท ยกเว้นให้ไม่ต้องส่งออกใน 3 วันทำการ
นอกจากนั้น ธปท.ยังได้เพิ่มบัญชีเงินฝากที่เป็นเงินบาทของผู้ที่มีถิ่นฐานในต่างประเทศพิเศษ คือ บัญชีเงินฝากเพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าโดยเฉพาะหรือ SNT สำหรับมีธุรกิจต่างประเทศที่ได้รับรายได้เป็นเงินบาทและมีภาระที่ต้องจ่ายเป็นเงินบาทในอนาคต สามารถพักเงินบาทไว้ในบัญชีใหม่นี้ได้เกิน 3 วัน และต้องมียอดคงค้างเงินบาทในบัญชี ณ สิ้นวันไม่เกิน 100 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า ได้ออกหนังสือเวียนไปยังธนาคารพาณิชย์และธนาคารเฉพาะกิจทุกแห่ง ในการขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินให้เข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากพบว่าสถาบันการเงินในต่างประเทศมีความพยายามทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศแลกบาท ทั้งในส่วนการซื้อขายพันธบัตร ตราสารหนี้ และทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า โดยชำระเฉพาะส่วนต่างการซื้อขายเท่านั้น ไม่มีการส่งมอบเงินตราต่างประเทศแลกบาทจริงตามสัญญา (Non-Deliverable Forward : NDF) ซึ่งเป็นความพยายามหลีกเลี่ยงมาตรการกันเงินสำรอง 30% ที่ ธปท.ได้ประกาศบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 49 ที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเงินบาทได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การผ่อนคลายมาตรการกันสำรอง 30% ครั้งนี้ เท่ากับเปิดทางให้กับต่างชาติทำธุรกรรมปกติ เนื่องจากเงินต่างชาติที่เข้ามาส่วนใหญ่จะทำธุรกรรมที่ได้รับการผ่อนผันในครั้งนี้อยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่ามาตรการการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาทของ ธปท.ที่ออกมาไม่ได้ผลตามคาด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมาตรการที่ ธปท. คาดคิด คือ ตลาดเงินบาทได้แยกออกเป็น 2 ตลาดอย่างชัดเจน มีการซื้อขายแยกออกอิสระ ค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศแข็งค่าอย่างมาก ดังนั้นเพื่อให้ค่าเงินบาททั้ง 2 ตลาดปรับเข้าหากัน จนต้องมีการผ่อนคลายมาตรการสำรอง 30% ซึ่งการผ่อนคลายแต่ละจุดเท่ากับการเปิดช่องโหว่ ให้สามารถเข้ามาเก็งกำไรได้ และยิ่งผ่อนคลายมาตรการมากๆ เท่าไร ก็เท่ากับเปิดช่องโหว่ให้เข้ามาเก็งกำไรมากเท่านั้น.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ