นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า วันที่ 7 ก.พ. จะเชิญนักวิชาการด้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาให้ข้อมูลในการประชาพิจารณ์เรื่องนี้ ซึ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หากจะสร้างขั้นต่ำควรมีกำลังการผลิตไฟ 700 เมกะวัตต์.
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ศึกษาการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในไทย เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มอีกทางหนึ่งในการจัดหาแหล่งพลังงาน ควบคู่ไปกับแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยประเด็นทั้งหมดจะมีการเปิดรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกส่วนในการประชาพิจารณ์ ในวันที่ 7 ก.พ. เพื่อนำไปเป็นข้อสรุปในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าหรือพีดีพีฉบับใหม่ (ปี 2550-2564) และแนวทางการเปิดประมูลผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ที่จะเปิดประมูลในเดือน เม.ย.
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นเรื่องที่ควรหาข้อสรุปให้ได้ ส่วนกรณีของโรงไฟฟ้าถ่านหินถ้าเกิดขึ้นไม่ได้ ก็ต้องใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟ ก็เป็นปัญหาอีกว่าจะหาก๊าซธรรมชาติมาจากแหล่งใดในระยะยาว จึงต้องมีคำตอบให้ประชาชนโดยเร็วที่สุด
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า ในระยะ 15 ปีข้างหน้า ถ้าต้องใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟทั้งหมด จะเป็นสัดส่วนถึง 90% จากขณะนี้ใช้เพียง 70% ถือว่าเสี่ยงต่อความมั่นคงด้านแหล่งพลังงานเพราะควรจะกระจายไปหลายๆ เชื้อเพลิง ซึ่งบริษัท ปตท.จำกัด ก็ตกใจว่าจะหาก๊าซธรรมชาติมาจากแหล่งใด รัฐบาลจึงจำเป็น ต้องให้ กฟผ.ดูความเป็นไปได้ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ไว้เป็นทางเลือก
นายปิยสวัสดิ์กล่าวว่า 15 ปีที่ผ่านมา ไทยได้เคยศึกษาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ไม่สามารถเกิดได้เพราะต้นทุนสูงไม่คุ้มค่า แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เพราะราคาน้ำมันจะแพงขึ้นในอนาคต และปริมาณ สำรองน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในแถบตะวันออกกลาง มีจำนวนลดลง ซึ่งประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง อินเดีย ล้วนแต่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และราคาก๊าซธรรมชาติและน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะใน 10 ปีข้างหน้า แหล่งปิโตรเลียมแหล่งใหม่จะยังไม่พบมากนัก และมีโอกาสขยับขึ้นไปถึง 80-100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า วันที่ 7 ก.พ. จะเชิญนักวิชาการด้านโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาให้ข้อมูลในการประชาพิจารณ์เรื่องนี้ ซึ่งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หากจะสร้างขั้นต่ำควรมีกำลังการผลิตไฟ 700 เมกะวัตต์.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ