วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
เอกชนทำใจรับสภาพเงินบาทแข็ง ชี้อุปสรรคสำคัญในการดำเนินธุรกิจปีนี้ กระตุ้นรัฐบาลออกมาตรการชัดเจนดูแลภาคธุรกิจ บิ๊กสหพัฒน์รับหนักใจค้าขายลำบาก มองแนวโน้มเศรษฐกิจไม่ชัด
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า อุปสรรคที่สำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในปีนี้คือภาวะเงินบาทแข็งค่า ซึ่งแข็งค่าในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะจีน เวียดนาม ไต้หวัน ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปด้วยความยากลำบากกว่าทุกปี ดังนั้น รัฐบาลควรมีมาตรการที่ชัดเจนเพื่อช่วยลดอุปสรรคดังกล่าวให้แก่ภาคธุรกิจ เพราะค่าเงินบาทถือเป็นปัจจัยที่บ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจประเทศได้
"น่าจะมีวิธีการทำให้ดีขึ้น และปีนี้หนักใจที่สุด ผมยังมองไม่เห็นว่าตลาดจะดีขึ้นได้อย่างไร โดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทที่จะแข็งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าควบคุมไม่ได้จะค้าขายลำบาก ซึ่งเศรษฐกิจดีหรือไม่นั้นค่าของเงินเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจดีหรือไม่ดีได้" นายบุณยสิทธิ์ กล่าว
ประธานเครือสหพัฒน์ ระบุว่า ตั้งแต่ต้นปีหลังจากเกิดเหตุระเบิดหลายจุดในกรุงเทพฯ ประชาชนออกไปจับจ่ายซื้อสินค้าลดน้อยลง เป็นผลให้การบริโภคลดลงตาม ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 5% ก็ถือว่าดีแล้ว
ด้านนายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า ในภาวะที่เงินบาทแข็งค่า ภาคธุรกิจควรหันมาพิจารณาเรื่องต้นทุนขององค์กร โดยใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงการพัฒนาขีดความ
สามารถขององค์กรให้เพิ่มขึ้น เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจและใช้เป็นภูมิคุ้มกันให้องค์กรมีความมั่นคงแข็งแรงขึ้นไม่ว่าจะต้องเจอกับอุปสรรคใดๆ อีกในอนาคต
ส่วนนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า เรื่องเงินบาทแข็งค่าถือเป็นกระแสที่ผู้ประกอบการไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะมีผลจากนักลงทุนไม่นิยมถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐ หันไปถือครองเงินสกุลอื่น ซึ่งเงินบาทก็เป็นหนึ่งในนั้น ประกอบกับภาวะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยเป็นสิ่งดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น ดังนั้น มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะช่วยรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ระยะยาวเห็นว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ