นายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ปรับเป้าหมายเงินเฟ้อสำหรับปีนี้ใหม่เป็นขยายตัว 1.5-2.5% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.5-3.5% ภายหลังจากที่ได้ประเมินสถานการณ์ต่างๆใหม่ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบดูไบ ที่ขณะนี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ 51-52 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 60 เหรียญ/บาร์เรล จึงไม่เป็นแรงกดดันให้เงินเฟ้อขยับสูงขึ้น โดยเป้าหมายเงินเฟ้อ ใหม่ตรงกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดไว้ สำหรับเป้าหมายเงินเฟ้อทั้งปีที่ 1.5-2.5% มาจากสมมติฐานอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีที่ 4.5% อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยทั้งปี 35-36 บาท/เหรียญสหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน ที่ 4.25-4.75% ค่ากระแสไฟฟ้าลดลง 0.34% ถึงเพิ่มขึ้น 2.48% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีที่ 50-60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศทุกชนิดเฉลี่ย 23.40-26.70 บาท/ลิตร
เงินเฟ้อประมาณ 1.5-2.5% นั้น ดีต่อภาวะเศรษฐกิจ ถ้าไม่เฟ้อเลย เศรษฐกิจจะนิ่ง ต้องมีตัวกระตุ้นให้เศรษฐกิจตื่นตัวบ้าง ส่วนที่คาดการณ์ ตัวเลขปีนี้ต่ำ เพราะปีที่แล้ว เงินเฟ้อได้รับแรง กดดันจากราคาน้ำมัน และกลุ่มอาหารสดเป็นหลัก แต่ปีนี้สถานการณ์ต่างๆได้คลี่คลายลงแล้ว
สำหรับเงินเฟ้อประจำเดือน ม.ค.50 อยู่ที่ระดับ 115 ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.49 ลดลง 0.3% เป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา และสูงขึ้น 3.0% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนเมื่อเทียบเดือน ม.ค.49 สูงขึ้น 3.0% และคาดว่าเงินเฟ้อในไตรมาส 1 จะคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน เพราะราคาสินค้าต่างๆ ยังค้างมาจากปีก่อน แต่ในไตรมาส 2-4 จะลดลง หากราคาน้ำมันไม่กลับมาสูงขึ้น และไม่เกิดภัยธรรมชาติอย่างรุนแรง สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐานของประเทศ ที่หักสินค้ากลุ่มอาหารสดและพลังงาน ซึ่งมีสัดส่วน 24% ของสัดส่วนค่าใช้จ่ายออกในเดือน ม.ค.50 อยู่ที่ระดับ 105.1 สูงขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.49 และสูงขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ