ปีที่ 58 ฉบับที่ 17914 วันพุธ ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 7 ก.พ. กระทรวงพลังงานจะเปิดรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2550-2564 (พีดีพี 2007) ซึ่งได้แบ่งการศึกษาไว้ 3 กรณีคือ กรณีที่ 1 แผนที่มีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต่ำที่สุด ซึ่งจะเน้นให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเป็นหลัก กรณีที่ 2 ระหว่างปี 2554-2564 กำลังผลิตไฟฟ้าที่จะมีเพิ่มขึ้น หลังจากหักลบจากปริมาณการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายเล็ก (เอสพีพี) ก็จะพิจารณาเพิ่มจำนวนโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งที่เหมาะสม และกรณีที่ 3 ผลักดันให้มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นตัวเลือก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการพิจารณาของกระทรวงพลังงาน เบื้องต้นได้พบว่าทางเลือกที่ 2 เป็นทางเลือกที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด เพราะทางเลือกแรกคงเกิดขึ้นได้ยาก แม้ว่าจะมีต้นทุนการก่อสร้างที่ต่ำ แต่การผลิตจากโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งหมด โอกาสคงจะเกิดขึ้นยากเพราะจะถูกต่อต้านจากประชาชน ขณะที่ทางเลือกที่ 3 นั้น การที่จะมีพลังงานนิวเคลียร์เข้ามาเป็นทางเลือกในปี 2563 ก็คาดว่าจะไม่ได้รับการตอบรับมากนัก แต่ยอมรับว่าจำเป็นต้องมีทางเลือกนี้ไว้ เพื่อมองในระยะยาว เพราะการพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าจะต้องมองต้นทุนและความมั่นคงด้านพลังงานที่จำเป็น และต้องกระจายความเสี่ยงในการใช้เชื้อเพลิง
สำหรับทางเลือกที่ 2 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประเมินว่าจะมีโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ๆเกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 2,800 เมกะวัตต์ ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เสนอตัวเป็นผู้ก่อสร้างที่ อ.ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์3 ยูนิต ยูนิตละ 700 เมกะวัตต์ และที่ จ.กระบี่ อีก 700 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานตั้งเป้าว่า การเปิดประมูลหาผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระรายใหญ่หรือไอพีพีในเดือน เม.ย.นี้ จะมีปริมาณผลิตไฟรวม 4,000 เมกะวัตต์ เพราะหากเปิดประมูลต่ำกว่านี้ จะไม่เกิดการจูงใจให้ลงทุน ส่วนจะมีการใช้เชื้อเพลิงประเภทใดบ้าง ขึ้นอยู่กับความต้องการลงทุนของเอกชน.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ