นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ไปเจรจาให้ บริษัท ปตท. จำกัด ชะลอหรือเลื่อนแผนการลงทุนโครงการปิโตรเคมีระยะที่ 3 ที่จะลงทุนก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีที่นิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จ.ระยอง มูลค่ากว่าแสนล้านบาทออกไปก่อน แต่หาก ปตท. ยังยืนยันว่าต้องการลงทุนในนิคมฯมาบตาพุดตามเดิม ก็เป็นหน้าที่ของ ปตท. ต้องไปทำการชี้แจงข้อมูลการลงทุนในทุกประเด็นให้ประชาชนใน จ.ระยอง เข้าใจและให้การยอมรับจนไม่มีการต่อต้านจึงจะสามารถเดินหน้าลงทุนสร้างโครงการปิโตรเคมีระยะที่ 3 ได้
นายโฆสิตกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไปทำหน้าที่ชี้แจงนักลงทุน โดยเฉพาะรายที่ต้องการลงทุนใหม่ในนิคมฯมาบตาพุด หรือโครงการลงทุนที่อยู่ระหว่างการยื่นขอรับสิทธิประโยชน์การลงทุนจากบีโอไอในพื้นที่นิคมฯมาบตาพุด ว่า จากนี้ไปหากปัญหามลพิษมาบตาพุดยังไม่เรียบร้อย ก็จะไม่มีการให้บีโอไอสำหรับโครงการดังกล่าวทั้งหมด รวมทั้งโครงการปิโตรเคมีระยะที่ 3 ของ ปตท. ด้วย จึงขอให้นักลงทุนในกลุ่มนี้รอไปก่อน หากรอไม่ได้ภาครัฐก็คงไม่สามารถดำเนินการอย่างใดได้เช่นกัน
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกรณีที่จะถูกมองว่า รัฐบาลใส่เกียร์ว่างไม่ทำงาน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในประเทศ ซึ่งโครงการปิโตรเคมีระยะที่ 3 ที่จะมีการก่อสร้างท่อก๊าซธรรมชาติ ในการลงทุนสำหรับป้อนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า ที่อาจไม่เกิดขึ้นเช่นกันและถูกมองว่าเสี่ยงต่อปริมาณไฟฟ้าที่จะขาดแคลนในอนาคต ก็เป็นเรื่องที่ ปตท. จะต้องชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าเพราะเหตุใด
นายโฆสิตกล่าวว่า สำหรับการที่รัฐบาลหยิบแผนการพัฒนาพื้นที่พัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ (เซาเทิร์นซีบอร์ด) ขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่มีอยู่เดิมแต่ต้องมีการเตรียมตัวรองรับการลงทุนในอนาคต หากไม่ สามารถให้มีการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมใน จ.ระยอง ได้เพิ่มเติม ซึ่งเรื่องนี้ตนจะหารือกับนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 15 ก.พ.นี้ เพื่อให้ได้ข้อสรุปทั้งหมดว่า จะมีการพัฒนาพื้นที่เซาเทิร์นซีบอร์ดอีกรอบหนึ่งหรือไม่ แต่หากมีการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวแล้ว จะมีอุปสรรคหรือถูกต่อต้านไม่ให้เกิดการเข้าไปลงทุนในพื้นที่ ก็คงเข้าไปลงทุนไม่ได้หากคนในพื้นที่ไม่ยอมรับ จึงต้องหาวิธีการทำให้ประชาชนในพื้นที่ยอมรับกันต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า โครงการปิโตรเคมีระยะที่ 3 ที่บอร์ดบีโอไอเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติหน่วยที่ 6-7 และกิจการขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (เรือเดินทะเล) มูลค่า 50,000 ล้านบาท และจะหมดอายุบัตรบีโอไอในเดือน มิ.ย. 2554 อาจทำให้ ปตท. ทำความเข้าใจกับประชาชนไม่ทันอาจต้องคืนบัตรบีโอไอ นายโฆสิตกล่าวว่า การลงทุนใดๆหากประ-ชาชนในพื้นที่ไม่ยอมรับก็เกิดขึ้นไม่ได้ ปตท. เป็นหน่วยงานรัฐที่มีภารกิจทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข ต้องไปชี้แจงให้ประชาชนยอมรับ ก็ไม่ทราบว่าถูกมองว่าตนเป็นเกียร์ว่างหรือไม่
ขณะที่นายพรชัยกล่าวว่า การลงทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 6-7 เมื่อได้รับบีโอไอแล้ว ปตท. ต้องไปทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ให้เรียบร้อยภายในเดือน ก.ค.นี้ ตามเงื่อนไขของบีโอไอที่กำหนดไว้ หากไม่สำเร็จก็จะถูกพิจารณายกเลิกบีโอไอ ซึ่งล่าสุด ปตท. รายงานว่าผลการศึกษาดังกล่าวจะแล้วเสร็จในปลายเดือน ก.พ. ส่วนการถูกขอให้ชะลอหรือเลื่อนการลงทุนปิโตรเคมีระยะที่ 3 ออกไป คงจะยังไม่กระทบต่อการผลิตไฟฟ้าเพราะ ปตท. มีแผนนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวในปี 2554 ที่ยังมีเวลาเพียงพอที่จะชี้แจงการลงทุนให้ประชาชนเข้าใจ คงไม่มีผลกระทบต่อการลงทุนมากนัก
นายจิตรพงษ์ กว้างสุขสถิตย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มสำรวจ ผลิตและก๊าซธรรมชาติ ปตท. กล่าวว่า หากกระทรวงพลังงานต้องการให้ชะลอโครงการลงทุนของ ปตท.ในนิคมอุตสาห-กรรมมาบตาพุด ซึ่ง ปตท.มีโครงการลงทุน 2 โครงการในระยะแรก ที่อยู่ระหว่างยื่นขออีไอเอ คือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ 6-7 และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 30-40 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาก ถ้ารัฐบาลต้องการให้ชะลอโครงการออกไปก่อน สามารถทำได้ในระยะสั้นเพียง 2-3 ปีเท่านั้น หากใช้เวลามากกว่านี้อาจทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจได้ เนื่องจากยังมีโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆที่ยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากธุรกิจปิโตรเคมีอยู่ ส่วนโครงการลงทุนรองรับแอลเอ็นจี ไม่มีปัญหามลพิษ เนื่องจากเป็นการใช้เทคโนโลยีในการทำความร้อนของก๊าซธรรมชาติให้เป็นของเหลวเท่านั้น ขณะนี้ ปตท.กำลังเร่งจัดทำแผนลดมลพิษในพื้นที่มาบตาพุดให้เสร็จโดยเร็ว และเชื่อว่าปัจจุบันมีอุปกรณ์และเทคโนโลยี ที่ทันสมัยสามารถช่วยลดปริมาณมลพิษที่ออกมาได้
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ