ผู้สื่อข่าวรายงานถึงเอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง วิกฤติโทรคมนาคม : ที่มา เหตุผล และทางออก โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอ ซึ่งจัดทำโดยนายสุเมธ วงศ์พานิชเลิศ อดีตผู้อำนวยการวิจัยด้านโทรคมนาคมของทีดีอาร์ไอ และนายณรงค์ ป้อมหลักทอง ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสของทีดีอาร์ไอนั้น ระบุว่ามูลเหตุของปัญหาธุรกิจโทรคมนาคมมีตั้งแต่นโยบายที่ผิดพลาด เช่น กรณีภาษีสรรพสามิต ความอ่อนแอในการบริหารจัดการของรัฐ เช่น การขาดเอกภาพในการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมโดยรวม แต่สาเหตุสำคัญอันหนึ่งเกิดจากการที่รัฐไม่แก้ พ.ร.บ.โทรคมนาคมในราว 20 ปีก่อน
ทีดีอาร์ไอระบุถึงกรณีภาษีสรรพสามิตว่า รัฐบาลควรยกเลิก พ.ร.ก.กำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2546 เพื่อให้บริการโทรคมนาคมเป็นกิจการที่ไม่เสียภาษีสรรพสามิต เพราะการคงไว้ซึ่งภาษีแม้ในอัตราที่ลดลง เป็นการบ่งชี้ว่าไทยยังมีท่าทีไม่สนับสนุนกิจการนี้ ไม่เป็นการจูงใจให้เกิดการลงทุนโครงข่าย ส่วนปัญหาการหลีกเลี่ยงไม่จ่ายค่าแอ็คเซ็สชาร์จ (เอซี) ของเอกชน หลังการประกาศใช้การเก็บค่าเชื่อมโยงแบบอินเตอร์คอนเน็กชั่นชาร์จ (ไอซี) นั้น ทีดีอาร์ไอเห็นว่าเอกชนต้องจ่ายค่าเอซีต่อไป เพราะเป็นภาระผูกพันตามสัญญา แต่ควรมีการปรับลดค่าตอบแทนให้ โดยในกรณีของบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค สามารถแลกกับสิทธิการใช้คลื่นความถี่ที่เกินพอที่ดีแทคมีได้ โดยให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือกทช.เป็นผู้วินิจฉัยและนำความถี่ไปใช้ประโยชน์ต่อ ส่วน บมจ.ทีโอที ซึ่งเสียรายได้นั้น ให้ กทช.ลดภาระค่าธรรมเนียมบริการทั่วถึง (USO) จาก 4% ลงเหลือ 2% เพื่อชดเชยผลกระทบทางการเงินให้
เอกสารทีดีอาร์ไอยังระบุด้วยว่า การเชื่อมต่อโครงข่ายแบบไอซี เป็นพื้นฐานการใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์สูงสุดอยู่แล้ว โดยรัฐไม่ได้เสียประโยชน์ จากการเก็บค่าเอซีที่หายไปมากมายนัก เพราะส่วนหนึ่งจะกลับคืนมาเป็นส่วนแบ่งรายได้ที่เอกชนต้องมอบให้รัฐในอัตรา 25-30% และอีกส่วนหนึ่งกลับมาเป็นผลกำไร ซึ่งที่สุดก็จะกลับคืนมาเป็นภาษีเงินได้ ให้กับรัฐอีกประมาณ 30%
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ