นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ 16 สมาคมการค้าได้มีหนังสือถึงสภาหอการค้าเพื่อแสดงข้อคิดเห็นต่อการเปิดเสรีทาง การค้าภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น-ไทย หรือเอฟทีเอ ไทย-ญี่ปุ่น โดยเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เร่งพิจารณา และให้ความเห็นชอบลงนามข้อตกลงกับญี่ปุ่นภายในปีนี้ เพราะหากล่าช้าจะทำให้ไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดญี่ปุ่น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
ถ้าไทยไม่ทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่น จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และบรูไน เพราะประเทศเหล่านี้เซ็นข้อตกลงเอฟทีเอกับญี่ปุ่นแล้ว และบางประเทศมีสินค้าเหมือนไทยซึ่งจะทำให้ไทยแข่งขันลำบาก ขณะเดียว กันญี่ปุ่นยังอยู่ระหว่างเจรจากับเวียดนาม และอินโดนีเซีย ถ้าสำเร็จยิ่งทำให้ไทยสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ เพราะประเทศเหล่านี้เป็นคู่แข่งโดยตรงกับไทย
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนประเมินในทุกภาคส่วนแล้วเห็นว่าการทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่น ไทยจะได้ประโยชน์ในหลายๆด้าน โดยเฉพาะไทยจะส่งออกสินค้าเกษตรไปญี่ปุ่นมากขึ้น ส่วนความกังวลว่า เมื่อทำเอฟทีเอแล้วไทยจะนำเข้าสินค้าที่ใช้แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ เพราะแต่ละปีไทยนำเข้าสินค้าเหล่านี้ 350,000 ตัน และนำมาใช้ประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งหากนำเข้าเพิ่มขึ้นจริง ไทยก็มีภาษีสรรพสามิตที่ป้องกันการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นได้
สำหรับ 16 สมาคมที่ยื่นหนังสือถึงสภาหอการค้าฯ ได้แก่ สมาคมค้ามันสำปะหลัง สมาคมผู้เพาะเลี้ยงปลาไทย สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อการส่งออกไทย สมาคมกุ้งไทย สมาคมน้ำตาล สมาคมยางพาราไทย สมาคมผู้ประกอบการส่งออกผักผลไม้สด สมาคมผู้ผลิตอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มไทย สมาคมสิ่งทอ สมาคมรองเท้าไทย สมาคมพ่อค้าผ้าไทย สมาคมอุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์และตกแต่งสิ่งทอไทย สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย และสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ใยสังเคราะห์
นางวิไล เกียรติศรีชาติ นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป กล่าวว่า การทำเอฟทีเอกับญี่ปุ่นจะยกระดับมาตรฐานสินค้าทางการเกษตรของไทย เพราะญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญในด้านนี้และจะทำให้สินค้าเกษตรไทยเข้าสู่ ตลาดญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้น แต่หากไม่มีการเซ็นข้อตกลงไทยจะเสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย กล่าวว่า แต่ละปีไทยส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารประมาณ 350,000 ล้านบาท ทั้งกุ้ง ไก่ อาหารสำเร็จรูป ผักและผลไม้ โดยตลาดหลักอยู่ที่สหรัฐฯ อียูและญี่ปุ่น ซึ่งไทยยังไม่มีข้อตกลงเอฟทีเอเลย ส่วนที่ทำเอฟทีเอไปแล้ว ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน อินเดีย ไม่ใช่ตลาดหลัก ดังนั้น ไทยจำเป็นต้องเซ็นข้อตกลงเอฟทีเอกับญี่ปุ่นโดยเร็ว เพื่อสร้างจุดได้เปรียบให้เพิ่มขึ้น
นายธำรง ธิติประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า กล่าวว่า ถ้าเอฟทีเอมีผลบังคับใช้ จะทำให้รองเท้าไทยแข่งขันในตลาดญี่ปุ่นได้ดีขึ้น และคาดว่าจะมีการร่วมทุนทำโรงงานรองเท้าในไทยอีก 5-6 โรงงาน แต่ถ้าหากไม่ทำไทยจะเสียเปรียบเวียดนาม อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกรองเท้าเช่นเดียวกับไทย
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ