วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
กรมสรรพสามิตเตรียมปรับโครงสร้างภาษีเบียร์ใหม่ให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการและภาครัฐ ชี้ต้นทุนการผลิตไม่ต่างกันมาก ขณะที่ภาษีมีถึง 3 ระดับ ระบุรอข้อมูลราคาขายปลีกที่ชัดเจนก่อนตัดสินใจ รับตรวจสอบยาก เหตุผู้ประกอบการหนึ่งรายผลิตเบียร์หลายยี่ห้อ
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างสำรวจข้อมูลราคาขายปลีกเบียร์ในตลาดในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นฐานอ้างอิงในการพิจารณาปรับอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าดังกล่าว โดยสาเหตุที่ต้องพิจารณาปรับโครงสร้างภาษีสินค้าเบียร์ใหม่ เพื่อต้องการให้มีความเป็นธรรมไม่เฉพาะผู้ประกอบการที่แข่งขันกันในตลาด แต่รวมถึงความเป็นธรรมสำหรับภาครัฐด้วย โดยกรมไม่ต้องการเห็นสินค้าอบายมุขมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอยู่แล้ว และเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้มีอนาคตที่ดีเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่คลังก็ต้องการภาษีเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
ทั้งนี้ ในปัจจุบันกรมสรรพสามิตใช้ราคาขายปลีกเป็นฐานในการจัดเก็บภาษีอยู่แล้วโดยนำราคาขายปลีกที่สินค้าตัวนั้นขายจริงในตลาดมาคิดคำนวณย้อนกลับไปยังราคาหน้าโรงงาน โดยหักกำไรหรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ออก วิธีนี้เป็นการสอบทานราคาหน้าโรงงานที่ผู้ประกอบการแจ้งกับกรมสรรพสามิตว่ามีความถูกต้อง หรือห่างไกลจากความเป็นจริง
รายงานข่าวระบุว่า ปัจจุบันการจัดชั้นจัดเก็บภาษีเบียร์แบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มราคาสูง (พรีเมียม) กลุ่มราคาปานกลาง (สแตนดาร์ด) และกลุ่มราคาต่ำ (อีโคโนมี) ในส่วนของเบียร์ราคาสูงจะจัดเก็บภาษีสูงสุดคือ 37 บาทต่อลิตร โดยสินค้าที่อยู่ในกลุ่มนี้คือ ไฮเนเก้น รองลงมาคือ กลุ่มเบียร์ราคาปานกลาง จัดเก็บภาษี 36 บาทต่อลิตร คือ สิงห์ และกลุ่มราคาต่ำ จัดเก็บภาษีในอัตราต่ำสุด คือ 28 บาทต่อลิตร กลุ่มนี้คือ ลีโอ และช้าง
ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตได้เล็งเห็นความไม่เป็นธรรมในการจัดเก็บอัตราภาษีดังกล่าว เพราะข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ต้นทุนการผลิตเบียร์แต่ละยี่ห้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหรือเพียง 0.02 บาทต่อลิตร แต่ราคาขายถูกกำหนดจากรสชาติของเบียร์แต่ละยี่ห้อ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีก็ไม่น่าแตกต่างกันมากนัก แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่กรมสรรพสามิตจะเข้าไปตรวจสอบต้นทุนการผลิตของเบียร์แต่ละยี่ห้อได้อย่างแท้จริง เพราะผู้ผลิตหนึ่งรายจะผลิตเบียร์หลายยี่ห้อ
จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก