ปีที่ 58 ฉบับที่ 17927 วันอังคาร ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550
นางอรนุช โอสถานนท์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทยเข้าพบว่า สมาคมได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการค้าข้าวถุงได้รับความเดือดร้อนจากการที่ห้างค้าปลีกรายใหญ่จะนำข้าวถุงไปขายให้ผู้บริโภคในราคาต่ำกว่าทุน หรือยอมขายขาดทุน เพื่อดึงดูดใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าภายในห้าง และหันไปหากำไรจากส่วนอื่นแทน เช่นค่าธรรมเนียมแรกเข้า (เอ็นทรานซ์ฟี) ส่งผลให้ผู้ประกอบการข้าวถุงไม่สามารถทำตลาดในราคาเหมาะสมได้ จึงขอให้กรมการค้าภายในเข้ามาดูแล
นอกจากนี้ ยังได้แจ้งว่ากรณีที่ห้างค้าปลีกได้ว่าจ้างผู้ประกอบการข้าวถุงให้ผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์สินค้าของห้างเอง (เฮาส์แบรนด์) อาจส่งผลในเรื่องคุณภาพข้าวถุงได้ เพราะยอดการสั่งทำสินค้าเฮาส์แบรนด์มีจำนวนไม่มากและยังต้องการต้นทุนที่ต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการอาจนำข้าวที่ไม่ได้คุณภาพมาบรรจุถุง เพื่อขายเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ให้กับลูกค้า ซึ่งจะส่งผลต่อผู้บริโภคที่ซื้อไป เรื่องนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะอนาคตข้าวถุงจะเป็นสินค้าประจำวันที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมข้าวถุงต้องใช้ข้าวสารบรรจุถุงถึง 1 ล้านตัน/ปี จึงอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแลในส่วนนี้
ด้านนายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า สมาชิกหลายรายขอให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลกรณีที่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ กำลังเปิดเจรจาเพิ่มค่าเอ็นทรานซ์ฟี และค่าวางสินค้าจากผู้ประกอบการข้าวถุง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนสินค้า แต่สมาชิกส่วนใหญ่อยากให้ห้างกำหนดเพดานสูงสุดของการขึ้นค่าธรรมเนียม หรือค่าเรียกเก็บต่างๆมากกว่า เราคงไม่ได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์เจรจากับห้างโดยตรง แต่อยากให้ดูแลความเหมาะสม ซึ่งแต่ละรายจะถูกตั้งเงื่อนไขแตกต่างกัน โดยปัจจุบันถือว่าค่าเรียกเก็บของห้างสูงเกินไป เมื่อเทียบกับต้นทุนผลิตข้าวถุงที่สูงอยู่แล้ว และสภาพการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง หากต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มจะทำให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มขึ้น นายสมฤกษ์กล่าวและว่า ขณะนี้สินค้าข้าวถุงมีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงระหว่างข้าวถุงมีตราสินค้าของตนเอง ที่มีอยู่ในตลาด 80 ตราสินค้า จาก 60 ราย กับกลุ่มรับจ้างบรรจุถุงและใช้ตราสินค้าของลูกค้า อย่างไรก็ตาม ตลาดข้าวถุงทั้งในและต่างประเทศก็มีขยายตัวในระดับน่าพอใจปีละ 20-30%
ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า กรมการค้าภายในยังไม่ได้รับการร้องเรียนกรณีที่ห้างค้าปลีกรายใหญ่ขายข้าวถุงต่ำกว่าทุน หากได้รับรายงานก็จะดำเนินการพิสูจน์ว่าเป็นการขายสินค้าต่ำกว่าทุนจริงหรือไม่ เพราะบางกรณีสามารถขายต่ำกว่าทุนได้ เช่น ซัพพลายเออร์ขายลดราคาให้กับห้าง หรือบางกรณีอาจเป็นการขายสินค้าที่ใกล้วันหมดอายุ หรืออาจเป็นการจัดโปรโมชั่นเพียงครั้งคราวซึ่งสามารถดำเนินการได้ แต่หากพิสูจน์แล้วพบว่าไม่เข้าตามเหตุผลก็ถือว่าเป็นการขายสินค้าต่ำกว่าทุนและจะมีโทษตามมาตรา 29 พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆนี้ กรมเตรียมออกเกณฑ์ต่ำกว่าทุน ซึ่งเป็นข้อกำหนดภายใต้ไกด์ไลน์ ค้าปลีก โดยจะกำหนดคำจำกัดความของคำว่า ทุน เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะที่ผ่านมา มักจะตีความไปคนละแง่มุมเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์มากที่สุด เช่น บางกลุ่มจะคิดต้นทุนจากใบอินวอยซ์เท่านั้น แต่บางกลุ่มจะรวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆด้วย.
จากหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ