วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550
แบงก์ชาติเชื่อเศรษฐกิจปีนี้ยังเติบโต 4-5% แม้เกิดเหตุระเบิดในภาคใต้อีกระลอก พาณิชย์หนุนเศรษฐกิจยังโต ยอมรับปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงมาก ระบุไม่อยากให้ยึดตัวเลข เน้นเรื่องกระจายรายได้และความสุขของประชาชนดีกว่า
ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังขยายตัวได้ 4-5% ตามที่คาดไว้ แม้จะเกิดเหตุระเบิดในภาคใต้เมื่อคืนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งไม่น่าจะกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มนิ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ธปท.ได้มอบหมายให้สาขาในภาคใต้ดูแลและรวบรวมผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดเหตุเมื่อคืนนี้ด้วย
ด้านนายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยอยู่ในระดับ 4.5% อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจหลายปัจจัย โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินบาท และเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งล่าสุดคือ การลอบวางระเบิดใน 4 จังหวัดภาคใต้ช่วงวันตรุษจีน ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน
"การมองว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะอยู่เพียงไม่นาน และจะรอรัฐบาลชุดใหม่ ก็ถือเป็นความรู้สึกที่อันตราย และแสดงให้เห็นว่าสังคมไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจเช่นกัน" นายเกริกไกร กล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องการให้มองถึงการกระจายความสุขและรายได้ของประชาชนมากกว่าที่จะมองถึงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยหากเศรษฐกิจโตในระดับ 4-5% ทุกปีก็นับเป็นการเติบโตที่ยั่งยืน ขณะที่เป้าหมายการส่งออกอยู่ที่ 10-12.5% ซึ่งแม้จะสูงกว่าคาดการณ์ของหน่วยงานอื่น แต่ก็ให้เป็นตัวเลขเป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่าสามารถทำได้ และขณะนี้คงต้องกลับมามองว่าประเทศไทยจะพึ่งพาตัวเลขการส่งออกเพียงอย่างเดียวถูกต้องหรือไม่
นายเกริกไกร กล่าวอีกว่า ต้องพิจารณาในทางกลับกันด้วย เช่น ไทยมีทุนสำรองมากกว่า 6-7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงและทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ต้องดูว่าจะทำอย่างไรกับทุนสำรองดังกล่าว เช่น อาจนำเงินดังกล่าวไปดำเนินธุรกิจอื่นๆ เพื่อให้ออกดอกออกผล แต่ก็ต้องดูว่าในแง่กฎหมายสามารถทำได้หรือไม่
จากหนังสือพิมพ์ คมชัดลึก